วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำภูเก็ต

สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำภูเก็ต Phuket Aquarium


Sunny Bangchak พาเที่ยว
สวัสดีค่ะ!! เพื่อนๆ และ แฟนๆ Sanook travel น้อง Sunny bangchak กลับมาแล้วอีกแล้วคร๊า ไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ มาเป็นอย่างไรบ้างคะ ได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้กันไปเยอะหรือป่าวเอ๋ย!!เดือนนี้น้อง Sunny bangchak จะพาเพื่อนๆไปเที่ยวดูกุ้ง หอย ปู ปลา กันดีกว่า แต่ถ้าไปแบบปกติที่เคยไป คือ ทะเล เพื่อนๆ คงเบื่อแล้วใช่ไหม งั้นน้อง Sunny bangchak จะไปเที่ยว Aquarium ที่มีอยู่ในประเทศไทยกันเลยย
สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำภูเก็ต Phuket Aquarium

ประวัติความเป็นมา สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำภูเก็ต
สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ ภูเก็ต ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2526 ตั้งอยู่บริเวณแหลมพันวา ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัดภูเก็ต ปัจจุบันอยู่ภายใต้กลุ่มพิพิธภัณฑ์และสถานแสดงพันธุ์สัตว์และพืชทะเล สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
Freshwater fish & Exotic fish สัมผัสปลาน้ำจืดแปลกใหม่ๆ และปลาที่หาชมได้ยาก เช่น ปลาไหลไฟฟ้า และปลาปิรันย่านักล่าแห่งลุ่มน้ำอเมซอน เป็นต้น
Marine & Coastal Resources Exhibition ร่วมเรียนรู้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งผ่านนิทรรศการที่รวบรวมความรู้จากงานวิจัยของสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน ตั้งแต่ป่าชายหาด จนกระทั่งดำดิ่งสู่ใต้ทะเลลึก อีกหนึ่งจุดเด่นในสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ คือ อุโมงค์ปลา เมื่อท่านเดินเข้าสู่อาณาเขตใต้ท้องทะเลท่านจะได้พบกับบรรดาปลากระเบน ปลาฉลาม ปลาเก๋า ปลานกแก้ว และฝูงปลากะพงประเภทต่างๆ
Tunnel Tank & Grouper Tank ตื่นตาตื่นใจไปกับโลกใต้ทะเลแห่งท้องทะเลอันดามัน สัมผัสความยิ่งใหญ่ของปลาหมอทะเล จำนวน 8 ตัว ตู้ปลาหมอทะเล ซึ่งเป็นปลาขนาดมหึมาแหวกว่ายกันอยู่ในตู้ปริมาตร 110 ตัน ทรง 12 เหลี่ยม ซึ่งบางตัวมีอายุมากกว่า 25 ปี
Science & Nature Trail พักผ่อนหย่อนใจในการชมเส้นทางศึกษาธรรมชาติ & งานวิจัย ซึ่งประกอบไปด้วย เส้นทางศึกษาธรรมชาติ โรงเพาะฟัก บ่อเต่าทะเล เรือสำรวจทางทะเล "จักรทอง ทองใหญ่" พิพิธภัณฑ์สัตว์และพืชทะเล และพิพิธภัณฑ์สัตว์ทะเลหายาก
วัตถุประสงค์: เพื่อเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของพืชและสัตว์ทะเลต่างๆ รวมทั้งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เวลาเปิดให้บริการ: เปิดให้บริการทุกวัน โดยไม่เว้นวันหยุดราชการ เวลา 08.30 - 16.30 น.
ปิดจำหน่ายบัตรเข้าชม เวลา 16.00 น.
การแสดงโชว์พิเศษ
ชมการสาธิตการโชว์ให้อาหารปลา
เสาร์อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ วันหละ 1 รอบ เวลา 11.00 น.
อัตราค่าเข้าชม:
ผู้ใหญ่ 50 บาท, เด็ก 20 บาท ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป, เด็กความสูงไม่เกิน 108 ซม., คนพิการ ภิกษุ สามเณร เข้าชมฟรี
ชาวต่างชาติ: ผู้ใหญ่ 100 บาท, เด็ก 50 บาท
สถานที่ตั้ง: สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำภูเก็ต ตั้งอยู่บริเวณแหลมพันวา ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัดภูเก็ต ที่อยู่ 51 หมู่ 8 ถนนศักดิเดช ตำบลวิชิต อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต 83000


ที่มา  :  http://travel.sanook.com/1022289

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้

ตามรอยโครงการพัฒนาตามพระราชดำริ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เชียงใหม่

หลายครั้งที่มีโอกาสได้พูดคุยกับปราชญ์ชาวบ้าน โดยเฉพาะปราชญ์ผู้ดูแลรักษาต้นน้ำไว้เป็นอย่างดี ให้คนปลายน้ำอย่างเราๆ ได้มีน้ำกิน น้ำใช้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ปราชญ์ผู้นำความรู้มักจะเอ่ยขึ้นทุกครั้งว่า ระบบการจัดการป่าและน้ำนั้น พวกเขาล้วนเรียนรู้มาจากโครงการพระราชดำริ และเรียนรู้จากคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ แล้วนำกลับไปใช้ในป่าชุมชน โดยเฉพาะที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ที่ใครๆ ต่างพากันมาศึกษาหาความรู้กันจากที่นี่...เราจึงตามไปชมให้เห็นกับตา
อ่างเก็บน้ำ บรรยากาศแสนดี และมีประโยชน์สำหรับชาวบ้าน
การเรียนรู้ของเราเริ่มต้นขึ้น หลังจากที่เลี้ยวรถเข้าสู่เส้นทางศูนย์พัฒนาฯ ห้วยฮ่องไคร้ ที่เขียวชอุ่มไปตลอดสองข้างทาง พอมาถึงหน้าทางเข้าก็มองเห็นอ่างเก็บน้ำขนาดย่อม ให้ความรู้สึกชุ่มชื้นขึ้นมาก หากเทียบกับแสงแดดที่สาดลงมา ที่นี่เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญเรื่องเกี่ยวกับทรัพยากรป่าไม้และป่าต้นน้ำ มีการสร้างอ่างเก็บน้ำไว้ถึง 8 แห่ง และ 1 ใน 8 แห่งนั้น อนุญาตให้ชาวบ้านมาตกปลาแล้วนำไปขาย สร้างรายได้ส่วนหนึ่ง บ้างก็ตกไปเป็นอาหารในบ้าน และปลาที่ตกได้ส่วนใหญ่นั้น จะเป็นปลาตะเพียน ปลาแรด ปลายี่สก ปลานวลจันทร์ ซึ่งจะอยู่ที่อ่างเก็บน้ำที่ 7 นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนาพื้นที่ต้นน้ำลำธาร โดยการสร้างฝายชะลอน้ำที่ต้นน้ำ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ปราชญ์ชาวบ้านมาเรียนรู้นั่นเอง
เส้นทางศึกษาธรรมชาติ เห็นป่าเบญจพรรณ และเก็บของป่ากลับบ้านได้

จุดนี้ไม่ควรพลาด เพราะการที่เราเข้าไปเดินในป่าจะทำให้เราเข้าใจความสำคัญของป่ามากขึ้น เพราะการที่เรามีป่าที่ดี นั่นหมายถึงการที่เราจะคงมีน้ำดีๆ ไว้ใช้ยามจำเป็น และมีแหล่งอาหารเพิ่มขึ้นจากป่า ในส่วนเส้นทาง
ศึกษาธรรมชาติ นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาชมได้เลย และสามารถเก็บของป่ากลับบ้านได้ อาทิ เห็ดต่างๆ ผักพื้นบ้าน พริกไทย หน่อไม้ และแม้กระทั่งหนอนไม้ไผ่ และไม่ใช่เพียงแค่นักท่องเที่ยวที่เก็บได้ ชาวบ้านก็มาเก็บของป่า และนำไปขายสร้างรายได้ได้เช่นกัน โดยระยะทางประมาณ 1.50 เมตร เพลินๆ กับธรรมชาติสีเขียว ที่หาที่ไหนไม่ได้ หากไม่ได้เดินเข้าป่า ที่นี่ยังมีหอดูเรือนยอดต้นไม้ ซึ่งสูงประมาณ 13 เมตร ให้เราได้เดินขึ้นไปชมความสูงของต้นไม้ ที่ตัดกับสีเข้มของท้องฟ้า และภาพพาโนราม่า 360 องศาที่มีเพียงยอดต้นไม้และผืนฟ้าเท่านั้นเป็นฉากธรรมชาติที่สวยงาม
ในช่วงหน้าฝน ก็จะมีเห็ดป่าขึ้นเยอะมาก เยอะจนสามารถสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านที่เก็บไปขายได้ยิ้มแก้มปริ และระหว่างทางที่เดิน เมื่อก้มลงมองที่พื้นป่า จะเห็นตะไคร่น้ำ หรือ ภาษาเหนือเรียกว่า ขี้ไคคู่ ขึ้นอยู่ตามพื้นป่าระหว่างซอกหินชื้นๆ เวลาเดินผ่านมันก็จะให้ความรู้สึกนุ่มๆ มันเหมือนเป็นพรมให้พื้นป่า นอกจากจะสวยแล้ว ยังนุ่มอีกต่างหาก และนี่คือความงดงามทางธรรมชาติที่ไร้การปรุงแต่งใดๆ จากป่าแห่งนี้
งานศึกษาอื่นๆ อีกมากมายที่เน้นการสร้างผลประโยชน์ให้กับชาวบ้านและสิ่งแวดล้อม
ที่แห่งนี้ยังมีศูนย์อบรมฯ ส่งเสริมอาชีพต่างๆ มากมาย อาทิ แปลงเกษตร แปลงนาข้าวทดลอง โรงเพาะเห็ด ซึ่งเปิดให้ชาวบ้านมาเรียนรู้ จนกลายเป็นอาชีพหลักที่มีพ่อค้ามารับซื้อถึงบ้านในราคากลางของตลาด รวมทั้งการเลี้ยงปศุสัตว์และโคนม การประมง การเลี้ยงกบ รวมทั้งการพัฒนาอาชีพในการเกษตร ส่งเสริมการแปรรูปและการถนอมอาหาร จากผลผลิตเกษตรในครัวเรือน และอุตสาหกรรมระดับพื้นบ้าน
นอกจากนี้ ศูนย์พัฒนาฯ แห่งนี้ยังเปิดเป็นค่ายพักแรมให้กับเด็กๆ ได้มาเรียนรู้ป่า และให้ผู้ที่สนใจเข้ามาซึมซับความเป็นป่าต้นน้ำ ซึ่งหาไม่ได้จากในตำรา มีจุดกางเต็นท์ไว้คอยบริการ แต่ต้องนำเต็นท์มาเอง และห้ามก่อกองฟืน อาหารสามารถสั่งแม่ครัวไว้ล่วงหน้าได้ บ้านพักก็มีแต่เป็นบ้านพักรวมหลังใหญ่ แยกชายหญิง หรือหากใครไม่สะดวกนอนที่นี่ ก็เพียงตั้งใจแวะมาที่ศูนย์พัฒนาฯ ห้วยฮ่องไคร้แห่งนี้ เชื่อว่าจะได้มากกว่าการท่องเที่ยวตามโปรแกรมเดิมๆ อีกเยอะเลย ใครไปเชียงใหม่ครั้งหน้า อย่าพลาดการกำหนดห้วยฮ่องไคร้ไว้โปรแกรมการเดินทาง ก็จะยิ่งทำให้เรารักป่า รักน้ำ และรักพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของเราเพิ่มมากขึ้น
ข้อมูลเพิ่มเติม:การเดินทางไปยังศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เชียงใหม่ หากต้องการศึกษาดูงาน ควรติดต่อกับทางเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ล่วงหน้า สามารถติดต่อและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0 5338 9228, 0 5338 9229


ที่มา  :  http://travel.sanook.com/1026871

มหัศจรรย์พรรณไม้งาม

ลัดเลาะขุนเขาเมืองเหนือ ชมมหัศจรรย์พรรณไม้งาม

ได้เวลาตื่นนอนจากฝัน นำพาตนเองออกเดินทางไปสถานที่นัดพบ ณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ ภาพบรรยากาศ ความสวยงามยังคงเหมือนเดิม อรุณสวัสดิ์ยามเช้าจ๊ะ...คำทักทายที่คุ้นเคย เพื่อนพ้องน้องพี่หน้าตาดี มีน้ำจิตแบ่งปันน้ำใจมอบรอยยิ้มพิมพ์ใจ สร้างมิตรภาพที่ดีให้ซึ่งกันและกัน นัยน์ตาเป็นประกาย น้ำเสียงร่าเริงแจ่มใสกันทุกคน ผมนั่งเหม่อมองฟ้าปล่อยให้ใจบางเบาสบายล่องลอยไปตามอารมณ์ สายลมเย็นพัดผ่านสมองเริ่มคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตในตอนนี้ ครั้งแรกที่ทราบข่าวงานประกวดภาพถ่าย ใจก็ปรารถนาตั้งจิตอธิฏฐานถ้ามีบุญวาสนาเพียงพอคงได้เดินทางไปถึงสถานที่แห่งนั้น จากฝันกลายเป็นความจริง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภูมิภาคภาคเหนือ ร่วมกับนิตยสาร PHOTOTECH และ แทรเวล ไลน์ พร้อมพันธมิตรโดย บัตรเครดิตท่องเที่ยว ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรม
เดินทางท่องเที่ยวชมความงามของธรรมชาติ " มหัศจรรย์พรรณไม้งาม เทิดพระเกียรติ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ" เส้นทาง กรุงเทพฯ - ลำปาง - ลำพูน - เชียงใหม่ บริเวณจุดลงทะเบียนรู้สึกว่าจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ จึงเดินเข้าไปหาแล้วลงชื่อก็เข้าใจ รับป้ายชื่อหอยคอพร้อมข้อมูลที่ควรทราบ และของสำคัญที่ช่วยเติมเต็มให้ร่างกายมีพลัง " มีข้าวกล่อง + น้ำดื่ม แจกด้วยนะ" อิ่มอร่อยกับอาหารเช้า เมื่อทุกคนพร้อมก็ได้เวลาล้อหมุนขบวนรถออกเดินทาง ภายใต้การนำของรถตำรวจกองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เส้นทางชีวิตช่างภาพนักเขียนแนวท่องเที่ยวของผมได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง นอนพักสายตาสมองเกิดจินตนาการวาดภาพพรรณไม้งาม อวดโฉมชูช่อดอกไม้แห่งความฝันจะเป็นอย่างไรกันนะ ตื่นนอนได้แล้วจ๊ะ...ตอนนี้คณะของเราได้เดินทางมาถึง เมือง "เขลางค์นคร" เป็นที่รู้จักกันดีอีกชื่อหนึ่งว่า "เมืองรถม้า" จังหวัดลำปาง อยู่ในภาคเหนือตอนบน เมืองสำคัญเมืองหนึ่งในอาณาจักรล้านนา นครลำปางได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่ามานานนับสองร้อยปี ดังนั้นสถาปัตยกรรม วัดวาอาราม โบราณสถานต่าง ๆ ในเมืองลำปางจึงได้รับอิทธิพลของศิลปะพม่าเห็นได้อย่างชัดเจน
เยี่ยมชมวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองลำปางมาแต่โบราณกาล "วัดพระธาตุลำปางหลวง" โบราณสถานสำคัญ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณซาก "เมืองโบราณลัมพกัปปะนคร" ตามประวัติพระนางจามเทวีเคยเสด็จมานมัสการ และทำการบูรณะซ่อมแซมสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรมอยู่เสมอ พระธาตุลำปางหลวง เป็น "พระธาตุประจำปีเกิดของ คนปีฉลู" ด้วยเริ่มสร้างในปีฉลู และเสร็จในปีฉลู ภายในองค์พระเจดีย์บรรจุ พระเกศาและ พระอัฐิธาตุ จากพระนลาฎข้างขวา พระศอด้านหน้าและด้านหลัง บริเวณพุทธาวาสประกอบด้วย องค์พระธาตุลำปางหลวง เป็นประธาน มีบันไดนาคนำขึ้นไปสู่ซุ้มประตูโขง ถัดซุ้มประตูโขงขึ้นไปเป็นวิหารหลวง บริเวณโดยรอบมี วิหารน้ำแต้ม , วิหารต้นแก้ว วิหารละโว้ , หอพระพุทธบาท , วิหารพระพุทธ และ อุโบสถ ทั้งหมดนี้จะแวดล้อมด้วยแนวกำแพงแก้วทั้งสี่ด้าน นอกกำแพงแก้วด้านใต้มีประตูที่จะนำไปสู่เขตสังฆาวาสซึ่งประกอบด้วยอาคาร หอพระไตรปิฎก , กุฏิประดิษฐาน , อาคารพิพิธภัณฑ์ , กุฏิสงฆ์และเป็นที่ประดิษฐาน พระแก้วดอนเต้า ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวลำปาง และชาวพุทธทั่วไป
เก็บภาพความประจำใจวัดพระธาตุลำปางหลวงกันแล้ว คณะของเราออกเดินทางไป มณฑลพายัพ จังหวัดเชียงใหม่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานเคยเป็น เมืองหลวงของอาณาจักรนครรัฐอิสระ ชื่อว่า "อาณาจักรล้านนา" แต่โบราณ มีภาษาล้านนาคำเมืองเป็นภาษาท้องถิ่น ตะวันลาลับขอบฟ้าไปแล้ว เช็คอินเข้าโรงแรมที่พัก ค่ำคืนนี้ รับประทานอาหารเย็น พร้อมฟังการบรรยายเทคนิคการถ่ายภาพให้สวยสมใจกับ Presentation ที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะจากวิทยากรระดับบรมครู อาจารย์ธวัช มะลิลา ที่ปรึกษาสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อเปิดมุมมองวิธีคิด สร้างสรรค์งานถ่ายภาพให้ก่อเกิดเป็นพื้นฐานอย่างมั่นคงลงสู่จิตใจของผู้ฟัง เนื้อหาเรื่องราวคำแนะนำในครั้งนี้ของอาจารย์ ช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปทำให้ "ดอกไม้แห่งความฝัน" ของผมเป็นจริง
ตื่นเช้ารับอรุณของวันใหม่ สูดลมหายใจรับเอาอากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติให้เต็มปอด ร่างกายสุขสดชื่นร่างเริงแจ่มใส เพื่อนพ้องน้องพี่เตรียมอุปกรณ์ถ่ายภาพแบบว่าจัดเต็มดูเหมือนกำลังพร้อมรบ สมองอัดแน่นด้วยวิชาการถ่ายภาพดอกไม้ให้สวยงามได้สมดังใจ เดินทางมาถึง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ "สวนพฤกษศาสตร์แม่สา" นับว่าเป็น สวนพฤกษศาสตร์แห่งแรกของประเทศไทย ที่มีการบริหารจัดการตามมาตรฐานสากล มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาวิจัย และให้ความรู้ ทางด้านพฤกษศาสตร์ ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2537 องค์การสวนพฤกษศาสตร์ได้รับพระราชทานพระราชานุญาต จากสมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถให้ใช้ชื่อสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ว่า "สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์" ภูมิทัศน์สวยงามบนยอดเขาเป็นสถานที่อนุรักษ์และรวบรวมพรรณไม้ประจำถิ่นและไม้ที่กำลังจะสูญพันธุ์ เพื่อจัดปลูกขยายพันธุ์ และศึกษาวิจัย ลักษณะการจัดสวนจะแบ่งพันธุ์ไม้ตามวงศ์และความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ รวบรวมพันธุ์ไม้ทั้งในและต่างประเทศ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับพันธุ์ไม้สามารถขับรถเที่ยวชมรอบๆได้
จากประตูทางเข้ารถนำเที่ยวสีหวานลวดลายดอกไม้ก็นำพาคณะของเราไปจุดแวะชมเริ่มจาก ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว , ศูนย์เพาะกล้วยไม้ไทย , อาคารพืชสมุนไพร , พิพิธภัณฑ์พืชสมุนไพร , ศูนย์วิจัย และสี่เส้นทางเดินเท้าชมธรรมชาติ คือ 1. เส้นทางสวนรุกชาติ 2. เส้นทางพันธุ์ไม้ไทยและพืชสมุนไพร 3. เส้นทางวลัยชาติ 4. เส้นทางน้ำตกแม่สาน้อย-สวนหิน-เรือนรวมพันธุ์กล้วยไม้ไทย มาถึงกลุ่มอาคารเรือนกระจกเฉลิมพระเกียรติ ประกอบด้วยเรือนกระจก ประกอบด้วยเรือนกระจก 3 แบบ ซึ่งมีทั้งหมด 12 โรงเรือน ภายในจัดปลูกตกแต่งพรรณไม้ไว้อย่างสวยงาม โดยเฉพาะพรรณไม้หายากและมีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ได้แก่
เรือนกระจกใหญ่แสดงไม้ป่าดิบชื้น จัดแสดงสภาพป่าและพันธุ์ไม้ป่าดงดิบ สร้างบรรยากาศภายในด้วย เครื่องพ่นหมอกให้มีความชุ่มชื้นสูง นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งพื้นที่เป็นเนินเขาและน้ำตก มีทางเดินยกระดับเพื่อให้ผู้เยี่ยมชมได้ชื่นชมความสวยงามของเรือนยอดพืชจากมุมสูงอย่างทั่วถึง  ส่วนเรือนกระจกขนาดกลางมี เรือนไม้น้ำ จัดแสดงไม้น้ำและพืชชุ่มน้ำชนิดต่าง ๆ โดยเน้นพันธุ์บัวของไทย เป็นหลักและเสริมด้วยพรรณไม้น้ำ ไม้ชุ่มน้ำต่างๆ และพืชกินแมลง , เรือนจัดแสดงกล้วยไม้และเฟิน มาถึงเรือนพืชทนแล้ง จัดแสดงพืชอวบน้ำ พืชสกุลกระบองเพชรชนิดต่างๆ พืชสกุลศรนารายณ์ กุหลาบหิน เสมา และยังรวบรวมพันธุ์ปรง ซึ่งจัดได้ว่าเป็นพืชโบราณที่มีเมล็ดกลุ่มแรกที่เกิดขึ้นบนโลกไว้ด้วย ภายในเรือนพืชทนแล้งแห่งนี้เองที่ทำให้ผมได้พบเธอ "ปรางค์ทอง" ชื่อนี้นามมีเสน่ห์ ชวนให้หลงใหล อวดโฉมงามกลีบดอกไม้สีเหลืองนวล ถูกตาต้องใจเมื่อแรกพบ ขอเก็บภาพความประทับใจนี้ไว้ในความทรงจำของผม
ส่วนเรือนแสดงพรรณไม้ทั่วไปมี เรือนรวมพรรณบัว จัดแสดงพรรณบัวต่างๆ โดยรวมพรรณบัวโดยเฉพาะของไทยและของเอเชีย , เรือนแสดงพันธุ์สัปปะรดสี จัดแสดงพันธุ์สัปปะรดสีที่มีการนิยมปลูกกันในประเทศไทย , เรือนแสดงบอนสีและหน้าวัว จัดแสดงบอนสี บอนป่า หน้าวัว ไม้ด่าง ไม้แคระ และพืชขนาดเล็กที่สวยงาม , เรือนแสดงส้มกุ้ง จัดแสดงพืชสกุลส้มกุ้งที่รวบรวมจากทั่วประเทศและชนิดที่สวยงามจากต่างประเทศ , เรือนแสดงไม้ดอกไม้ประดับ ไม้ด่าง จัดแสดงไม้ดอกไม้ประดับ ไม้ลูกผสมและไม้ต่างประเทศที่พบทั่วไปในท้องตลาด , เรือนแสดงไม้ไทยหายาก จัดแสดงไม้ไทยและไม้ไทยหายากชนิดต่างๆ มีป้ายชื่อบอกรายละเอียดโดยย่ออย่างชัดเจน และ เรือนแสดงพืชสมุนไพร จัดแสดงพืชสมุนไพรของภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือพร้อมป้ายบอกชื่อสรรพคุณต่างๆโดยย่อ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ สามารถเข้าเที่ยวชม เรียนรู้สัมผัสคุณค่า และความงดงามของพรรณไม้ได้ตลอดทั้งปีทุกฤดูกาล
ในค่ำคืนนี้มีกิจกรรมการประกวดถ่ายภาพ " มหัศจรรย์พรรณไม้งาม เทิดพระเกียรติ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ" นั่งมองดูผลงานถ่ายภาพดอกไม้ของเพื่อนพ้องน้องพี่สวยงามกันทั้งนั้น ในสมองก็คิดถึงความประทับใจที่พบเธอดอกไม้สีเหลืองนวล ผมตัดสินใจส่งภาพลงสนามแข่งขันในครั้งนี้ จากความฝันที่ได้เดินทางมา สู่ความจริงก้าวแรกของชีวิตดาวดวงใหม่เกิดขึ้นแล้ว "โฉมงาม ปรางค์ทอง" ชนะใจกรรมการและผู้ชมได้รับรางวัลชนะเลิศ ความสุขพิเศษนี้ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำได้ สิ่งที่ชัดเจนและตรงที่สุดใบหน้าผมยิ้มแย้มแจ่มใส เสียงตบมือยังคงดังก้องอยู่ในหัวใจของผมตลอดไป
วันสุดท้ายของกิจกรรมในครั้งนี้คณะของเราเดินทางไป จังหวัดที่เก่าแก่ที่สุดในภาคเหนือ เดิมมีชื่อว่า "นครหริภุญชัย" จังหวัดลำพูน นอกจากจะมีชื่อเสียงในฐานะเป็นเมืองประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน แล้วยังเป็นแหล่งเพาะปลูกลำไย ผ้าทอฝีมือดี พระเครื่อง และโบราณสถานที่สำคัญ "วัดพระธาตุหริภุญไชยวรมหาวิหาร" พระอารามหลวงชั้นเอกชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ใจกลางเมืองลำพูน สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ในรัชสมัยของพญาอาทิตยราช กษัตริย์แห่งราชวงศ์จามเทวีวงศ์ ภายในบริเวณวัดพระธาตุหริภุญไชย ก่อนที่จะเข้าไปในบริเวณวัด ต้องผ่านซุ้มประตูก่ออิฐถือปูนประดับลวดลายวิจิตรพิสดาร เป็นฝีมือโบราณสมัยศรีวิชัย ประกอบด้วยซุ้มยอดเป็นชั้น ๆ เบื้องหน้าซุ้มประตูมีสิงห์ใหญ่คู่หนึ่งยืนเป็นสง่า บนแท่น สิงห์คู่นี้ปั้นขึ้นใน สมัยพระเจ้าอาทิตยราช เมื่อทรงถวายวังให้เป็นสังฆาราม
เมื่อผ่านซุ้มประตูเข้าไปแล้วจะเห็นวิหารหลังใหญ่เรียกว่า " วิหารหลวง" เป็นวิหารหลัง ใหญ่มีพระระเบียงรอบด้าน และมีมุขออกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เป็นวิหารที่สร้างขึ้นใหม่แทนวิหารหลังเก่า ซึ่งถูกพายุพัดพังทลายไปเมื่อ พ.ศ. 2466 วิหารหลวงใช้เป็นที่บำเพ็ญกุศล และประกอบศาสนากิจทุกวันพระ ภายในวิหารประดิษฐานพระปฏิมาใหญ่ ก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทอง บนแท่นแก้วรวม 3 องค์ และพระพุทธ ปฏิมาหล่อโลหะขนาดกลางสมัยเชียงแสนชั้นต้น และชั้นกลางอีกหลายองค์ ด้านหลังวิหารหลวง
โดดเด่นเป็นสง่าเหลืองทองสะดุดตา "พระบรมธาตุหริภุญไชย" เป็นพระเกศบรมธาตุบรรจุในโกศทองคำ ประดิษฐานในพระเจดีย์ เป็นเจดีย์แบบล้านนาไทยแท้ๆ และมีแท่นบูชาประจำไว้เพื่อเป็นที่สักการบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป เมื่อถึง "วันวิสาขบูชา" ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 งานประเพณีสรงน้ำพระบรมธาตุหริภุญชัยที่ยึดถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นประจำทุกๆปี เพื่อเป็นการสักการะพระบรมพระอัฐิธาตุของพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าที่บรรจุในพระบรมธาตุ และเพื่อเป็นการบูชาเสาหลักเมือง ทั้งนี้เพราะชาวลำพูนถือว่าพระบรมธาตุหริภุญชัยเป็นเสาหลักเมืองของนครหริภุญชัย หรือเมืองลำพูนในปัจจุบัน ความสวยงามของวัดพระธาตุหริภุญไชยวรมหาวิหารยังคงอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-721-4417 , 086-339-6769 , 086-339-6787 แฟ็กซ์. 02-721-5516 อีเมล์ : phototech_mag@yahoo.com เว็บไซต์ www.phototech-mag.com facebook.com/phototech magazine , facebook.com/
สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยโทร. 02 -250 -5500 หรือสายด่วน 1672 และขอขอบคุณนิตยสารโฟโต้เทค


ที่มา  :  http://travel.sanook.com/1027125

วัดโพธิ์

วัดโพธิ์ เที่ยวไหว้พระใจกลางกรุง

เรื่องราวแห่งห้วงอดีตตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยายังคงดังมาให้เราได้สดับรับฟัง ที่แม้จะดูเบาบางแต่ก็ยังคงแว่วมาถึง กระแสรับรู้เป็นระยะๆ นับตั้งแต่ช่วงวัยเรียนจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต ดูเหมือนเรื่องราวของบรรพบุรุษบนที่ลุ่มภาคกลาง แห่งนี้แทบทุกด้านไม่เคยจางไปในฐานะของประวัติศาสตร์ที่ชี้มายังอนาคตอยู่เสมอ
ไม่เพียงแต่แค่การบันทึกด้วยถ้อยคำเรียงร้อยออกมาเป็นตัวอักษร ประวัติศาสตร์หลายสิ่งหลายอย่างยังถูกบันทึก เอาไว้ในรูปแบบของตัวตนที่มีอยู่จริง รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสครบถ้วนทั้งหกทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวทุกข์โศกชมชื่นที่ ถึงขั้นว่าเลือดทาแผ่นดิน หรือจะเป็นความเจริญรุ่งเรืองสมบูรณ์พูนสุข ประวัติศาสตร์เหล่านี้ล้วนมีพยานยืนยันมากมาย เหลือคณานับ ซึ่งต่างก็ทำหน้าที่ส่งทอดเรื่องราวสู่ชนรุ่นหลังอย่างต่อเนื่องในต่างรูปแบบ รวมไปถึงประวัติศาสตร์ส่วน หนึ่งที่ได้กลายมาทำหน้าที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวซึ่งจะพาเราย้อนกาลเวลากลับไปสู่อดีตท่ามกลางสภาพแวดล้อมของปัจจุบัน ด้วยตัวตนที่ตั้งตระหง่านผ่านฟ้าฝนมาเกินสองร้อยปี และมีอยู่นับร้อยแห่ง... และหนึ่งในนั้นก็คือ "วัดโพธิ์" ใจกลางเมือง ฟ้าอมรนี่เอง...
มีนักท่องเที่ยวถ่ายภาพท่านใดบ้างที่ยังไม่เคยบันทึกภาพของ "วัด" ด้วยอาวุธประจำกาย? แน่นอนว่าถึงจะมีแต่ก็คงจะหาได้ยากเต็มทน ซึ่งไม่วันใดวันหนึ่งก็คงไม่พ้นจะต้องถ่ายภาพจากสถานที่เหล่านี้อยู่ดี และหากเอ่ยถึงสถานที่ ประเภทนี้ที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุด ก็เห็นจะไม่พ้นพื้นที่มรดกโลกอย่าง "อยุธยา" ที่แม้แต่ฝรั่งมังค่ายังต้องขอบินลัดฟ้ามา ร่วมชื่นชมความยิ่งใหญ่อลังการแห่งอดีตนี้เป็นจำนวนไม่น้อยในแต่ละปี จนอาจกล่าวได้ว่าเสียงชัตเตอร์ไม่เคยจางหายไป จากอยุธยาตราบใดที่พระอาทิตย์ยังคงทำหน้าที่อยู่บนฟากฟ้าเป็นปกติ แล้วถ้าจะท่องไปในหน้าประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา จำเป็นต้องเฉพาะที่ จ.อยุธยา เท่านั้นหรือ?
คำตอบคือไม่ใช่ ยังมีวัดอันถือกำเนิดในสมัยนั้นแต่ยังยืนหยัดมาจนปัจจุบันจนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงของเราเสียด้วย นั่นก็คือ "วัดโพธิ์" ที่หลายคนเคยไปเยือนมาแล้ว ความดังของวัดโพธิ์แห่งนี้ยืนยันได้จากสถิติที่ได้รับการบันทึกเอาไว้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับที่ 24 ของโลกในปี พ.ศ. 2549 ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวรวมในปีนั้นกว่าแปดล้านคน! แล้วเราจะว่ายังไงดีหากเราเป็นคนหลังกล้องแต่ว่ายังไม่เคยไปถ่ายภาพที่นี่สักครั้งหนึ่งเลย?
ครั้งหนึ่งในช่วงก่อนสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่งที่มีชื่อว่า "ท่าเตียน" ออกเผยแพร่ไปทั่วสารทิศ (ถ้าจะจัดประเภทในสมัยนี้ก็คงเป็นแนวแฟนตาซี แต่ในยุคนั้นต้องเรียกว่าแนว "อภินิหาร") ผู้ที่ได้ชมต่างมีอาการตื่นเต้นเร้าใจ เพราะภาพในหนังนำเสนอยักษ์สองฝ่ายตัวสูงเทียมฟ้าโรมรันพันตูกันกลางกรุงเทพ! ฝ่ายหนึ่งนั้นมาจากฝั่งธนฯ ส่วนอีกฝ่ายมาจากพระนคร สังกัดวัดด้วยกันทั้งคู่ (เรียกว่าเด็กวัดก็เห็นจะไม่ผิด) สาเหตุของการวิวาทก็คงจะฝากให้ไปหามาดูกัน คนยุคดิจิตอลดูแล้วคงหัวเราะหน้าระรื่นกับสเปเชี่ยลเอฟเฟคในสมัยกว่าสามสิบปีที่ปรากฏ แต่ต้องขอบอกว่าในยุคนั้นเป็นหนังที่สร้างความฮือฮาตื่นเต้นจริงๆ เนื้อเรื่องดัดแปลงมาจากตำนานของยักษ์จากสองวัดที่ตีกันราวกับวัยรุ่น แต่สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านร้านตลาดบริเวณนั้นอย่างสาหัส และลงท้ายด้วยการถูกลงโทษด้วยกันทั้งคู่
...หลายคนคงเคยได้ยินเรื่อง "ยักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์" มาแล้ว ยักษ์จากสองวัดนั่นแลคือตำนานของ "ท่าเตียน" ท่าเรือที่อยู่ติดกับวัดโพธิ์แห่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน
ชื่อเสียงที่ลือเลื่องในอีกด้านหนึ่งของวัดโพธิ์ก็คือ เรื่องของตำราและศาสตร์แห่งการนวดแผนโบราณที่สืบทอดภูมิ ปัญญาของบรรพบุรุษที่สั่งสมมายาวนานได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ทุกอย่างที่ถูกจารึกไว้ตามส่วนต่างๆ ของวัดล้วนน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นวิธีการบันทึกหรือสรรพวิทยาที่ถ่ายทอดออกมาด้วยการใช้ภาพอธิบายร่วมกับตัวอักษร
ในอีกด้านหนึ่งนั้นก็คือเรื่องของสถาปัตยกรรมและสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่อลังการไม่แพ้ที่ใดในโลก รวมไปถึงบรรดารูปเคารพบูชาทั้งพระพุทธรูปและตุ๊กตาหินขนาดใหญ่ต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่สร้างความประทับใจอย่างไม่มีที่ใดเสมอเหมือน ประวัติโดยละเอียดของวัดโพธิ์นั้นหาศึกษากันตามแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น วิกิพีเดียและเว็บไซต์ของทางวัดได้ไม่ยาก จึงจะนำมากล่าวโดยย่อว่า "วัดโพธิ์" เป็นชื่อเรียกขานที่ติดปากชาวพุทธพระนครมาช้านาน มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร" (เหตุที่เรียกว่าวัดโพธิ์เป็นเพราะวัดเดิมชื่อ "วัดโพธาราม") เป็นวัดประจำรัชกาลในรัชกาลที่ 1 จัดเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษ จัดสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา (แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเมื่อใด) ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงธนบุรี ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ได้ทรงโปรดเกล้าให้สถาปนาวัดนี้ใหม่ในปี พ.ศ. 2331 โดยทรงสร้างพระอุโบสถพระระเบียงพระวิหาร รวมทั้งบูรณะของเดิมแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2344 วัดโพธิ์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อ มีนาคม พ.ศ. 2551
วัดโพธิ์ ในทุกวันนี้ยังเต็มไปด้วยคุณค่าแห่งประวัติศาสตร์ที่อธิบายและเล่าเรื่องด้วยตัวตนจริง ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงมีมนต์ขลังและงดงามอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งต้องขอบอกว่าน่าเสียดายถ้าหากว่าคุณไม่ได้ไปเยือนชม.. เที่ยวเมืองไทยใกล้ตัว...ไม่ไปไม่รู้จริงๆ

ที่มา  :  http://travel.sanook.com/1021545

ที่แก่งหินเพิง

“สนุก-มันส์-ฮา“ ที่แก่งหินเพิง


หยาดฝนเดือนตุลาคมยังคงโปรยปราย ป่าไม้ ต้นไม้ ทุ่งหญ้า นาข้าว ต่างชูช่อ แตกใบเชียวชะอุ่ม เพื่อซึมซับน้ำทิพย์จากสวรรค์กันอย่างเต็มที่ ด้วยธรรมชาติต่างหยั่งรู้ว่า อีกเพียงไม่นานฝนหยาดสุดท้ายก็จะห่างหายไปจากฟากฟ้า พร้อมๆ กับสายลมหนาวที่จะพัดผ่านเข้ามาเยือน
และธรรมชาติในตัวผม ก็หยั่งรู้ได้ว่า ผมไม่มีวันที่จะปล่อยให้สายฝน น้ำทิพย์อันใสสะอาดผ่านเลยไป โดยที่ยังไม่ได้ทำความรู้จักกับมัน...ไวเท่าความคิด สองมือของผมก็คว้าโน้ตบุ๊คคู่ใจมาเปิด พร้อมหาข้อมูลการท่องเที่ยวหน้าฝนแบบ adventure เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรไปที่ "วังตะพาบรีสอร์ท" สถานีที่พักที่โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ และเพียบพร้อมไปด้วยการผจญภัยในแบบที่ผมชอบ นั่นก็คือกิจกรรม "ล่องแก่ง" ที่ "แก่งหินเพิง"
เวลาสี่นาฬิกา ผมขับรถพาเพื่อนๆ กว่า 10 ชีวิต มุ่งหน้าจากถนนวิภาวดี-รังสิต ผ่านนครนายก ออกเลี่ยงเมืองปราจีนบุรี ผ่าน อ.ประจันตคาม อ.กบินทร์บุรี ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ด้วยระยะทาง กว่า 200 กิโลเมตร ในที่สุดเราก็ถึงจุดหมายที่ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี อันเป็นสถานที่ตั้งของวังตะพาบรีสอร์ท
เพื่อพาตัวเองออกจากความเมื่อยขบ หลังจากขับรถมากว่า 2 ชั่วโมง ผมจึงรีบลงจากรถ พร้อมกับชักจูงเพื่อนฝูงให้นำสัมภาระไปเก็บ จากนั้นก็พากันไปตุนเสบียงใส่กะเพาะอาหาร ก็กองทัพมันต้องเดินด้วยท้องนี่ครับ จริงไหม?...พอเริ่มมีแรงกันสักหน่อย ผมก็รีบไปสอบถามทางรีสอร์ททันทีว่า ผมจะได้เริ่มต้นผจญภัยตอนไหน ก็ได้ความว่า ล่องแก่งจะเริ่มต้นขึ้นเกือบ 10 โมง เวลายังเหลือ จะปล่อยให้เสียเปล่าก็กระไรอยู่ครับ หาเรื่องไปกระโดดหอ กระตุ้นความเสียวก่อนไปล่องแก่งดีกว่า
เวลาประมาณ 09.30 น. เจ้าหน้าที่ของโรงแรมก็เรียกผมและเพื่อนไปอบรมเกี่ยวกับการล่องแก่งที่ ปลอดภัย รวมไปถึงบอกถึงวิธีระวังตัวหากเกิดประกันอุบัติเหตุทางน้ำ คลิกอ่านข้อมูลได้ตามลิ้งค์ด้านล้างนี้ครับ
- การเตรียมตัวไปล่องแก่ง
- หลักการพายเรือล่องแก่ง
- การช่วยเหลือตัวเองเมื่อพลัดตกเรือ
เมื่อเสร็จจากการอบรม เราก็หยิบไม้พาย สวมเสื้อชูชีพ และหมวกกันน็อค แล้วกระโดดขึ้นรถโฟล์วีลที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ แล้วมุ่งหน้าไปชายป่าเขาใหญ่ ระยะทางร่วมๆ 6 กิโลเมตร
หลายคนบอกว่า ลีลาของพี่คนขับวัยหนุ่มฉกรรจ์ น่าจะไปขับรถแข่ง เพราะสาดได้ใจทุกโค้ง ตลอดระยะทาง ผมได้ยินเสียงกรีดร้องของชายหนุ่มอกสามสองครึ่งดังลั่นป่าทุกครั้งที่โชเฟอร์หนวดงามเทโค้งแบบไม่มีเบรค...นั่นเหมือนได้ล่องแก่งบกไปแล้วเรียบร้อย (555)
เราใช้เวลาบนรถไปเพียง 10 นาที ก็ถึง ขญ.9 แล้วเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 2.5 กิโลเมตร ลัดเลาะป่าเขาใหญ่ชมธรรมชาติเพลินๆ ยังไม่ทันเหนื่อยก็ถึงแก่งหินเพิง ผมได้ยินเสียงน้ำกระทบโขดหิน ดังสนั่นไปทั่วผืนป่า เหมือนเป็นสัญญาณที่บอกกับเราว่า ความสนุกกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
ทริปนี้ประกอบด้วยเรือยางจำนวน 2 ลำ ซึ่งแต่ละลำจะประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 2 คน ประจำอยู่หัวเรือและท้ายเรือ ที่นั่งที่เหลือก็เป็นของพวกเราครับ (เรือ 1 ลำ นั่งได้ประมาณ 8 คน) เมื่อประจำที่กันพร้อมแล้วเรือยางก็เริ่มไหลลื่นไปตามสายน้ำเชี่ยวกราก น้ำซัดเรือยางอย่างแรง จนพวกเราหงายหน้า หงายหลังกันระเนระนาด แต่ก็ต้องรีบพลิกตัวมาจับไม้พาย แล้วกลับเข้าประจำที่ เพื่อบังคับเรือยางต่อไป เพราะยังมีแก่งข้างหน้ารออยู่
เสียงของน้ำที่กระทบกับเรือยาง ดูเหมือนจะยิ่งสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับพวกเรา เรียกได้ว่า ยิ่งเล่นยิ่งคึก มีบางช่วงจังหวะที่สายน้ำปล่อยให้เราได้พักหายใจ แล้วก็แกล้งต่อด้วยการเข้ามากระแทกอย่างแรง...ละลิ่ว ล่องลอย กระแทกกระทั้น กระเด็นกระดอน กระโดดลอยคอ สุดแต่จะสรรหาคำมาอธิบายความสนุกสนานของการได้ล่องแก่ง ที่แม้ร่างกายจะนั่งติดอยู่บนเรือยาง มือถือพาย แต่ผมกลับรู้สึกว่า หัวใจของผมได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสายน้ำและธรรมชาติสองข้างทางไปแล้ว...
จากแก่งหินเพิง อันเป็นจุดเริ่มต้นของการล่องแก่ง  ไหลเรื่อยลงมายังแก่งผักหนามล้อม แก่งวังบอน แก่งลูกเสือ แก่งวังไทร และปิดท้ายที่แก่งงูเห่า แก่งสุดท้ายของการผจญภัยในครั้งนี้ พวกเราก็เสียงเฮด้วยความดีใจ...ตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมง ความเหนื่อยล้ามีมากเท่าไหร่ แต่ความสุข ความสนุกสะใจ กลับมีมากกว่าหลายเท่าตัว
เราล่องแก่งบกอีกครั้ง เพื่อกลับรีสอร์ทไปจัดการกับอาหารเที่ยวที่ตั้งรออยู่...
ตะวันเลยหัวไปทางทิศตะวันตกเล็กน้อย พวกเรามุ่งหน้ากลับสู่กรุงเทพ เมืองฟ้าอมร...ขณะที่ผมขับรถอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งถามขึ้นมาเบาๆ ว่า ทริปหน้าจะมาอีกเมื่อไหร่ ผมไม่ได้ตอบใครคนนั้นออกไป เพียงตอบคำถามอยู่ในใจว่า สำหรับแก่งหินเพิง ผมพร้อมเสมอ!
แก่งหินเพลิง
แก่งหินเพลิง



แก่งหินเพลิง






ที่มา  :  http://travel.sanook.com/927675

อ่าวคุ้งกระเบน

จันทบุรี แวะเที่ยวแหลมเสด็จ เดินชมวิวอ่าวคุ้งกระเบน

  • จันทบุรี เมืองชายทะเลที่ไม่เล็กไม่ใหญ่แต่ก็มีอะไรๆ ที่ทำให้ฤดูร้อนไม่น่าเบื่อ โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง แหลมเสด็จและอ่าวคุ้งกระเบน ที่ดูเหมือนจะมีนักท่องเที่ยวคึกคักกว่าหาดอื่นๆ
นอกจากจะมีชายหาดร่มรื่นไปด้วยสนทะเลเรียงรายเหมาะการมานั่งปิกนิกรับลมเย็นๆ แล้ว ยังเป็นที่ตั้งของ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่มุ่งพัฒนาเพิ่มความรู้ให้แก่ชาวประมงและเกษตรกรที่อาศัยทำกินในเขตพื้นที่ชายฝั่งจันทบุรี รวมถึงทำให้เราได้เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติป่าชายเลนผ่านกิจกรรมการท่องเที่ยวแบบได้สาระอีกด้วย
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ นอกจากจะมีสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา ให้ชมแล้ว หากสนใจเรื่องราวธรรมชาติของป่าชายเลนก็มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่ายชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน บนสะพานไม้ทอดยาวกว่า 1,700 เมตร ท่ามกลางพรรณไม้หลากหลายตลอดเส้นทาง ช่วงน้ำลดจะได้เห็นปูก้ามดาบ โบกก้ามไหวๆ และอย่าพลาดไปชมต้นแสมขนาดใหญ่อายุนับร้อยปี สุดปลายของสะพานไม้จะได้ชมวิวพาโนรามาของคุ้งน้ำรูปตัวปลากระเบน อันเป็นที่มาของอ่าวชื่อคุ้งกระบนอีกด้วย
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เปิดเวลา 08.00- 18.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 3936 9216-8


ที่มา  :  http://travel.sanook.com/949433

เขาคิชฌกูฏ

พระพุทธบาทพลวง นมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ยอดเขาคิชฌกูฏ

บนจุดสูงสุดของ ยอดเขาคิชฌกูฎ ที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,000 เมตร เป็นสถานที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทที่สูงที่สุดในประเทศไทย ที่รู้จักกันดีในชื่อ รอยพระพุทธบาทพลวง หรือ พระบาทพลวง สถานที่ซึ่งพุทธศาสนิกชนต่างศรัทธาและเชื่อว่า หากได้เดินขึ้นไปนมัสการ รอยพระพุทธบาทพลวง บนยอดเขาคิชฌกูฎจะได้บุญอันใหญ่หลวง แล้วสามารถขอพรได้หนึ่งข้อ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ผู้ที่ไปขอพรทุกคนก็มักจะประสบความสำเร็จดังใจหวัง จึงทำให้มีผู้เลื่อมใสและศรัทธาเดินทางมาสักการะไม่ขาดสาย
รอยพระพุทธบาทพลวง
ในทุกๆ ปี ระหว่างวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 3 จนถึงแรม 15 ค่ำ เดือน 4 สถานที่สำคัญแห่งนี้จะเปิดให้ประชาชนขึ้นไปนมัสการปิดทองรอยพระพุทธบาทตลอดทั้งวันทั้งคืน หากใครได้ไปเยือนในช่วงนั้นก็จะได้เห็น พุทธศาสนิกชน ประชาชน และนักท่องเที่ยว ต่างพากันถือดอกดาวเรืองสีเหลืองอร่ามมาโปรยตามทางเดินขึ้นเขา ด้วยเชื่อว่า เส้นทางที่พวกเขากำลังจะเดินขึ้นไปเป็นเส้นทางสวรรค์ หากมีการนำดอกไม้ที่ชื่อมงคลอย่างดอกดาวเรืองมาโปรย ก็จะทำให้ชีวิตมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองอีกด้วย
รอยพระพุทธบาทพลวง หรือรอยพระบาทพลวง มีขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร และใกล้ๆ กับรอยพระพุทธบาททางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ยังมีหินกลมก้อนใหญ่ริมหน้าผา ที่เราเรียกกันว่า หินลูกพระบาท ตั้งเด่นเป็นสง่าชวนน่าอัศจรรย์ และเมื่อมองไปรอบๆ ก็จะเห็นทิวทัศน์ของ อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฎ ที่ครอบคลุมอำเภอมะขามและอำเภอเขาคิชกูฎ ซึ่งผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์และเป็นอุทยานต้นน้ำสำคัญของจังหวัดจันทบุรี และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง เช่น น้ำตกกระทิง น้ำตกคลิงช้างเซ น้ำตกคลองกระสือ เป็นต้น
การเดินทางขึ้นไปนมัสการ รอยพระพุทธบาทพลวง หรือ พระบาทพลวง เริ่มต้นจากการนั่งรถบริการที่วัดพลวงไปตามถนนลูกรังที่ลาดชัดและคดเคี้ยวมาก ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร จากนั้นต้องเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 1.2 กิโลเมตร หากไปในช่วงงานนมัสการปิดทองรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏประมาณตรุษจีน -วันมาฆบูชาของทุกปี จะมีประชาชนขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาททั้งวันทั้งคืน สำหรับนักท่องเที่ยวท่านไหนที่รู้สึกว่าสุขภาพร่างกายไม่พร้อมหรือเดินไม่ไหว แต่ใจพร้อม บริเวณทางขึ้นเขาก็ร้านไม้เท้าให้เช่าสำหรับช่วยค้ำเดินขึ้น ในราคาอันละ 5 บาท และบริการแคร่หามในราคาเที่ยวละประมาณ 400 บาท
สำหรับปี 2555 งานนมัสการปิดทองรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏ ทางจังหวัดจันทบุรีได้กำหนดเปิดให้พุทธศาสนิกชน ประชาชน และนักท่องเที่ยวขึ้นไป นมัสการรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏ ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม - 24 มีนาคม 2555 โดยมีรถยนต์บริการรับ-ส่ง ขึ้น-ลงเขา หรือเดินเท้าขึ้น-ลงเขาได้ตลอด 24 ชั่วโมง
รอยพระพุทธบาทพลวง
หากมีโอกาสลองแวะไป นมัสการรอยพระพุทธบาทพลวง กันสักครั้งนะครับ เพราะนอกจากจะได้อิ่มอกอิ่มใจกับการทำบุญแล้ว ยังได้ความเพลิดเพลินสนุกสนานจากการท่องเที่ยวอีกด้วย
Tip: ตำนานรอยพระพุทธบาทพลวง
รอยพระพุทธบาทพลวง หรือรอยพระบาทพลวง ตามประวัติกล่าวว่า ได้ค้นพบเมื่อประมาณปีพ.ศ.2397 ต่อมาในปี พ.ศ 2515 พระครูธรรมสรคุณ หรือหลวงพ่อเขียน เจ้าอาวาสวัดกระทิง เจ้าคณะอำเภอมะขาม ได้บุกเบิกเบิกทางขึ้น ก่อนค่อยๆ พัฒนาเส้นทางขึ้นยอดเขาให้ดีขึ้น และปลอดภัยมาจนถึงปัจจุบัน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
- วัดกระทิง โทร. 0 3945 2056
- ที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฎ โทร.0 3945 2074
- อบต.พลวง กิ่งอำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี โทร.0 3930 9281 - 2
การเดินทาง: จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 มอเตอร์เวย์ ผ่าน อำเภอบ้านบึง มุ่งสู่ อำเภอแกลง จากสามแยกแกลงให้เลี้ยวซ้าย แล้วใช้ถนนสุขุมวิท (ทางหลวงหมายเลข 3) เมื่อถึงทางแยกเข้าตัวเมืองจันทบุรี (สี่แยกเขาไร่ยา) เลี้ยวซ้ายเขาถนนบำราศนราดูรไปประมาณ 20 กิโลเมตรนิดๆ ก็จะถึงน้ำตกกระทิง เลยวัดกระทิงไป 400 เมตร ก็จะถึงแยกขวามือที่จะไปวัดพลวง ซึ่งเป็นถนนลูกรังระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ให้จอดรถฝากไว้ที่วัดพลวงแล้วนั่งรถบริการที่จะพาไปยอดเขา


ที่มา  :  http://travel.sanook.com/945757/%

3 เมืองสวย

เพลินตาเพลินใจ 3 เมืองสวย พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์

พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ถ้าหากคุณลองเปิดแผนที่ประเทศดูจะเห็นว่าพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัดมีอาณาเขตติดต่อกัน และแต่ละจังหวัดก็สถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นขึ้นชื่อไม่ซ้ำกัน เป็น 3 เมืองที่น่าเที่ยวมากที่สุด ที่เราจะชวนทุกคนไปเที่ยวด้วยกันในครั้งนี้
หลายต่อครั้งได้เดินทางไปเที่ยว พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ทีละจังหวัด แต่ยังไม่เคยได้เที่ยวครบทั้งสามจังหวัดในทริปเดียวเหมือนครั้งนี้ จนกระทั่งมีโอกาสดีได้รับคำชวนจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด และ นิตยสารท่องเที่ยวโวยาจ จัดทริปพิเศษไป เพลินบุญ เพลินตา เพลินใจ เติมความสุขและรอยยิ้มไปกับ เมืองไทย Smile club เดินทางท่องเที่ยวในเส้นทาง 3 จังหวัด พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แบบพร้อมเพรียง... เมื่อพร้อมแล้วก็ออกเดินทางไปสัมผัสความสวยงามกันด้วยกันได้เลย

เพลินบุญ กับเส้นทางแห่งศรัทธา
จังหวัดแรกที่เราไปเยือน คือ พิจิตร เมืองชาละวันชื่อดังที่หลายคนรู้จักกันดี เราแวะเที่ยว วัดโพธิ์ประทับช้าง อ. โพธิ์ประทับช้าง สถารที่ประสูติสมเด็จพระศรีสรรเพ็ชร์ที่ 8 หรือ พระเจ้าเสือแห่งกรุงศรีอยุธยา ภายในวัดมีโบสถ์ศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ประดิษฐานหลวงพ่อโต พระประธานศักดิ์สิทธิ์ ให้ทุกคนได้ไหว้สักการะขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล
พิจิตร เป็นเมืองเล็กๆ ที่สงบและน่าอยู่ เมื่อมาถึงเมืองแห่งนี้พลาดไม่ได้ที่ต้องแวะไปสักการะ หลวงพ่อเพชร วัดท่าหลวง พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของบ้านพิจิตร มาวัดนี้นอกจากทุกคนเพลินตาเพลินใจกับความสวยงามของวัดที่อยู่ติดริมน้ำ และได้ทำบุญจนอิ่มอกอิ่มใจแล้ว หากมาเที่ยวในช่วงต้นเดือนกันยายน บริเวณหน้าวัดท่าหลวงจะมีงานแข่งเรือยาวของฝีพายจากทั่วสารทิศ เทศกาลแข่งเรือยาวของเมืองนี้มีชื่อโด่งดังไปทั่วประเทศ ใครที่ชอบชม ชอบเชียร์กีฬาเรือยาว พลาดไม่ได้กับกิจกรรมสนุกๆ นี้
แวะทำบุญที่เมืองชาลวันกันอิ่มใจแล้ว ก็มุ่งหน้าไปเมืองสองแคว พิษณุโลก ไปกราบพระพุทธชินราช ที่วัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร วัดนี้ชาวพิษณุโลกเรียกกันว่าวัดใหญ่ ทุกวันจะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศมากราบสักการะขอพรกันตลอดทั้งวัน พระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปที่ว่ากันว่าสวยงามที่สุดองค์หนึ่งของประเทศ ไหว้พระเสร็จรอบวัดยังมีของฝากมากมายให้เลือกอุดหนุน มาวัดนี้วัดเดียวได้ทั้งบุญ และของฝากกันไปฝากเพื่อนแบบครบครันจริงๆ

เพลินใจกับธรรมชาติ
พิษณุโลก มีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติมากมาย เช้าวันนี้เราเดินทางออกนอกเมืองพิษณุโลก ไปเที่ยว อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า หล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางอุดมการณ์ของชนชาติ ไทยที่สำคัญในอดีต อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ตั้งอยู่บนรอยต่อสามจังหวัด คือ พื้นที่อำเภอด่านซ้าย ของจังหวัดเลย พื้นที่อำเภอนครไทย ของจังหวัดพิษณุโลก และพื้นที่อำเภอหล่มสัก ของจังหวัดเพชรบูรณ์ มีอาณาเขตพื้นที่ประมาณ 191,875 ไร่ ถือเป็นแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติที่สำคัญแห่งหนึ่งของไทย และมีสถานที่ท่องเที่ยวงดงามมากมาย อาทิ
ลานหินแตก ลานหินขนาดใหญ่กินอาณาบริเวณ กว้างขวางถึง 40 ไร่ ลักษณะของลานหินเสมือนรอยแตกเป็นแนวร่องเหมือนแผ่นดินที่แยกออกจากกัน สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการโก่งตัวหรือเคลื่อนตัวของผิวโลกในอดีต บริเวณลานหินแตกยังถูกปกคลุมไปด้วยพืชตระกูลมอส ไลเคน ตะไคร่ เฟิร์น ต้นกระดุมเงิน ดอกไม้ป่า และกล้วยไม้สีสันสดสวยแปลกตามากมาย ให้ชมผลัดเปลี่ยนกันไปตามฤดูกาล
จากนั้นพวกเราเดินทางไปเที่ยว ลานหินปุ่ม ลักษณะคล้ายกับลานหินแตก แต่แปลกประหลาดที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ขึ้นนั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง คือ ไม่ได้แตกเป็นร่องลึกแต่นูนโค้งเป็นทรงกลมบ้าง ครึ่งวงกลมบ้าง ไม่ก็รีเรียวบิดเบี้ยวบ้าง สันนิษฐานว่าเกิดจากการสึกกร่อนตามธรรมชาติของหินมาเป็นระยะเวลานับพันนับหมื่นปี แล้ว ลานหินปุ่มตั้งอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 4 กิโลเมตร ทำเลที่ตั้งอยู่บริเวณริมหน้าผา ลมพัดเย็นสบาย มองลงไปเป็นผืนป่ากว้างสุดสายตา เหมาะสำหรับการหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะบรรยากาศยามเย็นช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดินถือว่าเป็นช่วงที่สวยช่วง หนึ่งของที่นี่เลยก็ว่าได้
ห่างออกจากลานหินปุ่มอีกเพียง 500 เมตร เป็นที่ตั้งของ ผาชูธง ลักษณะป็นเพิงผาสูงชัน สามารถมองทิวทัศน์บริเวณโดยรอบได้เกือบ 360 องศา เป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกจุดหนึ่งที่เหมาะสำหรับการมานั่งรอชมบรรยากาศอาทิตย์ ลับขอบฟ้าในอดีตเคยเป็นสถานที่ที่กลุ่ม ผกค. ขึ้นไปชูธงแดงรูปค้อนเคียวทุกครั้งที่ทำการรบชนะฝ่ายรัฐบาล ปัจจุบันทางอุทยานฯ ได้นำธงชาติไทยขึ้นไปปักปันไว้แทน นอกจากนี้ ภายในบริเวณอุทยานฯ ยังประกอบไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิเช่น พิพิธภัณฑ์การสู้รบ, โรงเรียนการเมืองการทหาร, กังหันน้ำ, สำนักอำนาจรัฐ, โรงพยาบาลรัฐ, ลานอเนกประสงค์, สุสาน ทปท., ที่หลบภัยทางอากาศ และหมู่บ้านมวลชน เป็นต้น เหมาะสำหรับผู้สนใจมาศึกษาการสู้รบและแนวคิดทางอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันระหว่างคนไทยด้วยกันเองในอดีต
อิ่มเอมกับความสวยงามของธรรมชาติ และอากาศแสนบริสุทธิ์แล้ว ก็ได้เวลาไปเพลินพิศความงามของเมืองเพชรบูรณ์กันต่อ เราออกเดินทางสู่ เขาค้อ เมืองท่องเที่ยวสุดแสนชิลล์และอากาศเย็นสบายไม่ต่างจากเมืองในขุนเขาทางภาคเหนือ
 
แวะไหว้ พระธาตุผาซ่อนแก้ว ชมความงดงามของเดจีย์สีเหลืองทองอร่ามที่เห็นโดดเด่นจับตามาแต่ไกล มาที่นี่นอกจากจะได้สัมผัสบรรยากาศอันแสนเงียบสงบของสถานที่ ซึ่งเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมแล้ว เรายังได้สักการะพระบรมสารีริกธาตุในองค์พระธาตุเพื่อเป็นสิริมงคลของชีวิตอีกด้วย

เพลินตา ด้วยทัศนียภาพธรรมชาติที่สวยงาม
เข้าที่พักนอนหลับฝันดี ตื่นมาทักทายชมทะเลหมอกที่ลอยอ้อยอิ่งยามเช้า ก็ออกไปเพลินตาและเพลินบุญ แวะสักการะ พระบรมธาตุกาญจนาภิเษก เพื่อเป็นสิริมงคลอีกแห่ง และเข้าชม ฐานอิทธิและอนุสรณ์สถานผู้เสียสละ สถานที่แสดงเรื่องราวสมรภูมิเขาค้อในสนามรบจริง แล้วไปอุดหนุนของฝากที่ ไร่กำนันจุล เลือกซื้อของฝากสินค้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรมากมาย อาทิ สละ มะขามหวาน ฯลฯ ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ แบบชิลล์ๆ
พวกเราที่ไปเทียวด้วยกันในทริปนี้ต่างลงความเห็นกันว่า เป็นทริปเพลินบุญ เพลินตา เพลินใจ ที่สนุกและประทับใจที่สุดอีกทริปหนึ่งเลยละ


ที่มา  :  http://travel.sanook.com/

มรดกโลก

เที่ยวมรดกโลก ตามรอยประวัติศาสตร์ความเป็นไทย


เคยสงสัยความเป็นไทย กันบ้างหรือไม่? บรรพบุรุษของเรามีรกรากถิ่นฐานจากที่ใด? กว่าจะหล่อหลอมรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยนั้นมีที่มาเป็นอย่างไร? ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ชวนให้ค้นหาคำตอบยิ่งนัก!
ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางร่วมกับกรมศิลปากร ในโครงการเผยแพร่มรดกศิลปวัมนธรรมของชาติ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ ๒ ภายใต้หัวข้อ "ชมแหล่งมรดกโลก อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร เข้าสู่พระราชวังจันทน์ สักการะพระพุทธชินราช จ.พิษณุโลก" เป็นทริปที่อัดแน่นไปด้วยความรู้ จากคุณสุนิสา จิตรพันธ์ ผู้อำนวยการบรหารกลาง กรมศิลปากร ทำหน้าที่บอกเล่าประวัติศาสตร์อย่างรู้ลึกรู้จริงโดยมิได้เหน็ดเหนื่อย
หลายคนอาจเคยนึกสงสัยว่าความเป็นชาติไทยเริ่มต้นมาจากที่ใด เราเคยเรียนรู้จากประวัติศาสตร์มาตั้งแต่เด็กว่าคนไทยมีการอพยพมาจากเทือกเขาอัลไต ประเทศจีน เราก็ท่องจำกันเรื่อยมา ปัจจุบันมีนักวิชาการที่ทำการค้นคว้าตามหลักฐานที่ยังคงเหลืออยู่ จึงเกิดข้อขัดแย้งจากเดิม เอาเป็นว่าชนชาติไทยมีการอพยพกันเรื่อยมา อาศัยอยู่ในที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีชุมชนที่ขนาดใหญ่และเข้มแข็งกว่าจนตั้งรกรากในดินแดนที่เชื่อสุวรรณภูมิ หากสืบสาวราวเรื่องความเป็นต้นตระกูลไทยในวันนี้ผู้เขียนคงต้องทำการบ้านอย่างหนักเพราะจะมีความหลากหลายในเรื่องของวิชาการที่ได้ค้นคว้าจากทางประวัติศาสตร์
อาณาจักรสุโขทัยจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะเชื่อว่ามีการเริ่มใช้ภาษาไทยของเราเองในสมัยพ่อขุนรามคำแหง ก็คือสมัยกรุงสุโขทัย มีภาษาเขียนของตนเอง เห็นได้จากหลักศิลาจารึก ที่พบในวัดมหาธาตุ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ในอดีตวัดมหาธาตเป็นวัดที่สำคัญถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางของเมืองสุโขทัย ทำให้มีวัดวาอารามมากมาย ที่เป็นสถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัย มีความโดดเด่นในเรื่องเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์หรือทรงดอกบัวตูมนั้นเอง ฐานสร้างเป็นสี่เหลี่ยมซ้อนกันสามชั้น องค์เจดีย์เป็นเหลี่ยมย่อมุม
พระเจดีย์มหาธาตเป็นเจดีย์ประธาน ฐานชั้นล่างสุดมีพระพุทธสาวกเดินพนมมือประทักษิณบนฐานเดียวกันมีปรางค์ ๔ องค์ ตั้งอยู่ทั้ง ๔ ทิศ และบริเวณมุมทั้ง ๔ ทิศ มีเจดีย์ทรงปราสาทแบบศรีวิชัยผสมลังกา ๔ องค์ ลักษณธเป็นเจดีย์บริวารของเจดีย์ประธาน อีกลักษณะหนึ่งที่ได้รับความนิยมในช่วงนั้นก็คืยเจดีย์ทรงกลมลังกา เป็นเจดีย์ที่รับอิทธิพลมาจากลังกา เจดีย์จะมีฐานสี่เหลี่ยมยกสูง มีความโดดเด่นโดยมีการประดับที่ฐานเป็นรูปปั้นช้างล้อมรอบฐานเจดีย์ ทำให้มีการสร้างในลักษณะเดียวกันค่อนข้างเยอะ
ถึงแม้อากาศจะร้อนเพียงใด แต่ด้วยเรื่องราวของประวัติศาสตร์ความเป็นชนชาติไทยทำให้ ผู้เข้าร่วมโครงการได้รับความรู้ ความเข้าใจ ในรู้ซึ้งตระหนักถึงคุณค่าอันยิ่งใหญ่ ของมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ เรื่องราวดี ๆ ยังมีอีกมากมาก ต้องขอขอบคุณ กรมศิลปากรที่ให้โอกาสผู้เขียนได้ร่วมเรียนรู้ในครั้งนี้ ในตอนหน้ายังมีเรื่องราวดี ๆ ของประวัติศาตร์รออยู่นะคะ ติดตามได้ในตอนต่อไปคะ

ที่มา  :  http://travel.sanook.com/950843